ดอยหลวงเชียงดาว

การเดินทางสู่ดอยหลวงเชียงดาว

จะต้องมาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียวดาวในช่วงเวลาไม่เกิน 08:00 น. เพื่อทำเรื่องลงทะเบียนขออนุญาตเดินป่า ในจุดนี้จะต้องจ่าย

  • ค่ามัดจำขยะ 1,000 บาท ต่อกลุ่ม
  • ค่ารถเหมาสำหรับขนส่งนักท่องเที่ยวขึ้นไปยังจุดเดินป่าคันละ 1,800 บาท โดยต้องใช้ 2 คัน เพราะต้องรวมลูกหาบกับเจ้าหน้าที่ด้วย
  • ลูกหาบจะมีค่าบริการ 500 บาทต่อวัน หาบของได้ประมาณ 20 กิโลกรัม

ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะมีการอบรมนักท่องเที่ยวเรื่องกฎระเบียบต่างๆก่อนขึ้นไปเดินป่า เจ้าหน้าที่จะมอบถุงดำ ถุงปัสสาวะพกพา ให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนสำหรับการขับถ่ายหลังจากนั้นจึงออกเดินทางไปยัง หน่วยขุนห้วยแม่กอก เรียกเส้นทางนี้ว่า เด่นหญ้าขัด จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เส้นทางเต็มไปด้วยฝุ่น ค่อนข้างขรุขระและอันตราย หากอยากนั่งสบายควรนั่งด้านในรถ ในระหว่างทางจะมีจุดตรวจรับหนังสือขออนุญาต 1 จุด เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะถึงหน่วยขุนห้วยแม่กอก หรือ หน่วยเด่นหญ้าขัด ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินเท้า ในจุดนี้จะมีห้องน้ำไว้บริการ ควรทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพราะเส้นทางจากนี้ไปจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆอีก ใกล้ยอดดอยหลวงเชียงดาวมีจุดกางเต็นท์ที่นี่มีเต็นท์ให้เช่าและมีพื้นที่ให้กางเต็นท์ แต่ต้องมีการแจ้งและจองล่วงหน้าเท่านั้น โดยจะต้องทำการจองล่วงหน้าอย่างน้อย 5 วัน มีโควต้าในการเดินป่าอาทิตย์ละประมาณ 100 ถึง 150 คน โดยปกติจะเปิดให้เดินขึ้นเฉพาะวันศุกร์ และวันเสาร์สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดินได้จากสองจุดชมวิวโดยจะเปิดให้เดินทางในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนมีนาคมโดยใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 3-5 ชั่วโมง ในการเดินขึ้นไป

เส้นทางการเดินป่าสู่ดอยหลวงเชียงดาว

มี 2 เส้นทาง คือ

1. เส้นทางปางวัว – อ่างสลุง ระยะทางประมาณ 6.5 กม. ทางมีความชันอยู่หลายช่วงต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินป่า

2. เส้นทางเด่นหญ้าขัด – อ่างสลุง ระยะทางประมาณ 8.5 กม. ต้องนั่งรถไปยังหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก

จะเป็นทางราบและชันสลับกัน ทั้งสองเส้นทางจะบรรจบกันตรง “จุดปางวัว” เพื่อเชื่อมต่อไปยัง จุดพักแรมอ่างสลุง และจากจุดพักแรมนี้ ต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 30 – 40 นาที จึงจะถึง จุดชมวิว ที่เป็นจุดสูงสุดของยอดดอยหลวงเชียงดาว ดอยหลวงเชียงดาวจะเปิดเส้นทางในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมีนาคม สภาพอากาศบนดอยจึงค่อนข้างหนาวเย็น แม้ช่วงกลางวันจะมีแดดบ้าง เมื่อเริ่มเดินเข้ามาเรื่อยๆก็จะพบกับ ป่าไม้ธรรมชาติเนินเขาสลับซับซ้อนสูงเสียดฟ้า ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณแปลกตา ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 3-5 ชั่วโมง จะมีช่วงที่เป็นทางสามแยก มีป้ายบอกทางชัดเจน ด้านซ้ายเป็นเส้นปางวัว ตรงไปเป็นเป็นยอดดอย และลานกางเต็นท์อ่างสลุงซึ่งขากลับนี่เองที่เราจะต้องลงทางปางวัวเป็นเส้นทางเดินป่าที่แม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขได้ประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต

เว้นวรรค

กางเต็นท์อ่างสลุง

ขอบคุณรูปภาพจาก www.pantip.com

สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานกางเต็นท์อ่างสลุง บนพื้นจะไม่มีต้นไม้ใหญ่รกทึบ แต่โดยรอบแล้วจะมีทุ่งหญ้าสูงท่วมหัว มีพื้นที่โล่งเตียนเฉพาะจุดที่กางเต็นท์เท่านั้น ซึ่งแต่ละจุดจะกางเต็นท์ได้ประมาณ 3 ถึง 5 หลังเส้นทางเดินภายในบริเวณลานกางเต็นท์คล้ายกับเขาวงกต ที่จะแบ่งเป็นซอยหรือทางเล็กๆสำหรับเดินไปยังเต็นท์ของตนเองเพราะเจ้าหน้าที่ต้องการให้พื้นที่สมบูรณ์มากที่สุด รบกวน ธรรมชาติ น้อยที่สุด เพราะฤดูกาลท่องเที่ยวมีเพียงแค่ 2 ถึง 3 เดือนเท่านั้น สัตว์ป่าและพืชพรรณธรรมชาติที่นี่ ยังคงอาศัยหากินตลอดชีวิตของมันซึ่งพวกเราจะต้องช่วยกันอนุรักษ์ดูแลรักษาความสมบูรณ์ของที่นี้เอาไว้

จุดชมวิวของดอยหลวงเชียงดาว

ยอด ดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นจุดสูงสุด เมื่อมาถึงลานกางเต็นท์ในช่วงบ่าย สามารถขึ้นไปยังจุดชมวิวยอดดอยหลวงเชียงดาวเพื่อ ชมพระอาทิตย์ตก จุดชมวิวแห่งนี้มีระยะทางไม่ไกลมาก หลังจากชมความสวยงามบนยอดดอยหลวงเชียงดาวแล้วก็ได้เวลาเดินกลับมายังจุดกางเต็นท์ ซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเนื่องจากทางลงมีความลื่นและลาดชัน เมื่อถึงเวลากลางคืนอากาศที่นี่จะเย็นลง ควรเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวมาให้พร้อมเมื่อมาถึงเต็นท์ที่พัก ก็ได้เวลาพักผ่อนเพื่อเตรียมดูแสงแรกของวันที่เขาว่ากันว่าควรมาเห็นด้วยตาสักครั้งในชีวิต

จุดชมวิวกิ่วลม

จะต้องเดินเท้าไกลพอสมควร ควรออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด เพื่อให้ทันเห็น พระอาทิตย์ขึ้น และ ทะเลหมอก ที่ว่ากันว่าเป็นวิวที่สวยที่สุด หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเดินทางมาถึงยอดกิ่วลม ได้สัมผัสกับธรรมชาติ พืชพรรณต่างๆ ดอกไม้สีสันสวยงาม ทะเลหมอกหนาๆที่ปกคลุมอยู่บนยอดภูเขาเป็นอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ที่ควรค่าแก่การได้มาเห็นด้วยตาสัมผัสด้วยกาย ให้ความรู้สึกเหมือนธรรมชาติโอบกอดเรา

ช่วงการเดินลง

หลังจากลับมาจากจุดชมวิว นักท่องเที่ยวบางกลุ่มยังคงทำอาหารในตอนเช้า บางกลุ่มก็เริ่มเก็บเต็นท์ และสัมภาระต่างๆ การเดินทางกลับจะใช้ระยะทางที่สั้นลง โดยเดินเท้าแยกไปทางปางวัว เส้นทางนี้ค่อนข้างลาดชันจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อถึงจุดปางวัว จะพบกับลานจอดรถ และศาลาสำหรับพักรอ นักท่องเที่ยวจะต้องนำขยะกลับมาที่ทำการเพื่อขอคืนเงินประกัน และจัดการสัมภาระ ค่าใช้จ่าย เมื่อทำธุระเสร็จแล้วก็สามารถเดินทางกลับได้ทันที

Scroll to Top